Thaienews.blogspot.com
แอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนล แถลงต่อสื่อมวลชน
ประเทศไทย: ทหารต้องหยุดการใช้กำลังอาวุธปราบปรามอย่างเกินขอบเขต
ทหารไทยจะต้องยุติการยิงกระสุนจริงเข้าใส่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลซึ่งรวมตัวในหลายพื้นที่เป็นวงกว้างในกรุงเทพฯ แอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลกล่าวในวันนี้
“จากปากคำของพยานผู้เห็นเหตุการณ์และวิดีโอปรากฏชัดเจนว่าทหารใช้กระสุนปืนจริงยิงเข้าใส่ประชาชนซึ่งไม่มีอาวุธและไม่เป็นภัยคุกคามอย่างใดต่อทหารหรือผู้อื่น” Benjamin Zawacki ผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศไทยของแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลกล่าว “สิ่งนี้เป็นการละเมิดอย่างรุนแรงต่อสิทธิมนุษยชนซึ่งสำคัญสุด นั่นคือสิทธิที่จะมีชีวิต”
“การจงใจใช้กระสุนปืนจริงยิงเข้าใส่ประชาชนผู้ไม่มีอาวุธ ไม่ว่าจะเป็นผู้ประท้วงหรือบุคคลใด ๆ ก็ตาม ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แสดงท่าทีเป็นภัยคุกคามต่อผู้ใด เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” Benjamin Zawacki กล่าว
นับแต่วันที่ 13 พฤษภาคม เมื่อรัฐบาลเริ่มปฏิบัติการปิดล้อมราชประสงค์ ทหารใช้กระสุนยางและกระสุนจริงยิงภายในและโดยรอบพื้นที่ประท้วงหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ รัฐบาลอ้างว่ามี “ผู้ก่อการร้าย” ประมาณ 500 คนแฝงตัวอยู่ในบรรดาผู้ประท้วง
มีผู้ประท้วงซึ่งไม่มีอาวุธถูกสังหารอย่างน้อย 35 คน รวมทั้งเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยและพยาบาลสองคนซึ่งสวมชุดของแพทย์ฉุกเฉินสีขาวติดตรากาชาดสีแดงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งถูกยิงในวันที่ 15 และ 16 พฤษภาคม และมีเด็กชายอายุ 17 ปีถูกยิงในวันที่ 15 พฤษภาคม พลตรีขัตติยะ สวัสดิผล (หรือเสธฯแดง) ทหารซึ่งเป็นที่ปรึกษาของผู้ชุมนุมประท้วงถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม เป็นนายทหารอีกคนหนึ่งที่ถูกสังหาร
มีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่า 200 คน รวมทั้งผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศ และเด็กผู้ชายอายุ 10 ขวบ
“รัฐบาลไม่อาจปล่อยให้ทหารไล่ยิงใครก็ตามในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่ต้องการเข้าควบคุม” Benjamin Zawacki กล่าว
ตามกฎการใช้กำลังที่ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งเป็นของรัฐบาลอธิบายเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ระบุว่า การใช้กระสุนจริงอาจกระทำได้กรณีที่เป็นการยิงเตือนขึ้นไปบนฟ้า เพื่อป้องกันตัว และเมื่อเจ้าหน้าที่เห็นได้ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นบุคคลที่ถือได้ว่าเป็น “ผู้ก่อการร้าย” ในวันที่ 16 พฤษภาคม ศอฉ.มีคำสั่งประกาศหลายพื้นที่ใกล้เคียงกับพื้นที่ประท้วงให้เป็น “พื้นที่ใช้กระสุนจริง”
พยานผู้เห็นเหตุการณ์หลายคนบอกกับแอมเนสตี้อินเตอร์เนชันแนลว่า พวกเขาเห็นทหารยิงเข้าไปในพื้นที่โดยใช้ปืนยิงระยะไกล ซึ่งเป็นระยะที่ผู้ที่ตกเป็นเป้าหมายไม่น่าจะสามารถก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ได้
พันเอกสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกศอฉ.กล่าวในวันที่ 14 พฤษภาคม ว่า ทหารพยายามรักษาระยะห่างจากผู้ประท้วง และจะใช้กระสุนจริงเพื่อหยุดยั้งไม่ให้ใครเข้ามาใกล้ และเมื่อมีการยิงผู้หยุดผู้ประท้วง ทหารจะเล็งยิงบริเวณใต้หัวเข่า และจะยิงทีละนัด
“การปฏิบัติเช่นนี้ไม่อาจยอมรับได้ตามกฎหมายและมาตรฐานระหว่างประเทศ ซึ่งกำหนดให้ใช้อาวุธปืนได้เป็นวิถีทางสุดท้าย ในกรณีที่ผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิดตอบโต้ด้วยอาวุธ หรือพยายามทำร้ายชีวิตผู้อื่น และในกรณีที่มาตรการรุนแรงอย่างอื่นไม่เพียงพอที่จะควบคุมหรือสยบตัวผู้ต้องสงสัยว่ากระทำผิด นอกเหนือจากสถานการณ์ที่เป็นการป้องกันตัวอย่างชัดเจนแล้ว การควบคุมจลาจลควรเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งได้รับการฝึกฝนให้ใช้อุปกรณ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต ไม่ใช่เป็นหน้าที่ของทหารซึ่งใช้กระสุนจริง” Benjamin Zawacki กล่าว
ข้อมูลพื้นฐาน
กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เสื้อแดง” เนื่องจากสีของเสื้อที่สวมใส่ เริ่มการประท้วงที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม
สมาชิกจำนวนหนึ่งเป็นพันธมิตรกับทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งถูกขับออกจากตำแหน่งเนื่องจากการทำรัฐประหารเมื่อปี 2549 และอยู่ระหว่างการลี้ภัยโดยสมัครใจ พวกเขาเรียกร้องให้มีประชาธิปไตยที่ดีขึ้น และที่ผ่านมาได้กดดันให้มีการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ในหลายครั้งยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะลาออกและลี้ภัยไปต่างประเทศ นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอแผนปรองดองห้าข้อเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ซึ่งรวมถึงการยุบสภาและจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2553 ในเบื้องต้นผู้ประท้วงเห็นชอบในหลักการกับแผนดังกล่าว แต่ต่อมาได้เสนอ “แผนแดง” กลับไปที่รัฐบาลและปฏิเสธที่จะออกจากพื้นที่ชุมนุม ซึ่งได้ยึดครองมาตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ได้ถูกประกาศใช้นับแต่มีการประท้วง และมีการประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อวันที่ 7 เมษายน กฎหมายทั้งสองฉบับให้อำนาจมากมายต่อทหาร และในภายหลังยังมีการประกาศพรก.ครอบคลุมเกือบครึ่งประเทศไทย
รัฐบาลไทยลงนามในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights-ICCPR) ซึ่งกำหนดไว้ว่า ไม่อาจมีการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตได้ แม้ “ในภาวะฉุกเฉินสาธารณะซึ่งคุกคามความอยู่รอดของชาติ” (ข้อ 4)
การใช้อาวุธร้ายแรงปราบปรามอย่างเกินขอบเขตเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการใช้กำลัง หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าพนักงานผู้บังคับใช้กฎหมายขององค์การสหประชาชาติ (2533) (United Nations Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials (1990)) และหลักการพื้นฐานว่าด้วยการป้องกันและการสอบสวนการสังหารนอกกระบวนการกฎหมายและการสังหารโดยพลการให้เป็นผล (2532) (United Nations Principles on the Effective Prevention and Investigation of Extra-Legal, Arbitrary and Summary Executions (1989))
แม้จะไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายในกรณีทั่วไป แต่ก็ถือเป็นความตกลงระดับโลกระหว่างรัฐต่าง ๆ ถึงวิธีการดีสุดที่จะนำข้อบัญญัติด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมาใช้ ระหว่างที่มีปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายโดยไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิที่จะมีชีวิต กฎหมายทั้งสองฉบับเป็นข้อบัญญัติชัดเจนว่า การใช้กำลังอาวุธที่มุ่งหมายชีวิตอาจใช้ได้เฉพาะในกรณีเพื่อคุ้มครองชีวิตและไม่มีหนทางอื่นหลีกเลี่ยง
17 ฤษภาคม 2553
ติดต่อ Benjamin Zawacki - +66 811 381 912
AMNESTY INTERNATIONAL
PRESS RELEASE
17 May 2010
Thailand: Military must halt reckless use of lethal force
Thai soldiers must immediately stop firing live ammunition into several large areas in Bangkok where anti-government protesters are gathered, Amnesty International said today.
“Eye-witness accounts and video recordings show clearly that the military is firing live rounds at unarmed people who pose no threat whatsoever to the soldiers or to others,” said Benjamin Zawacki, Amnesty International’s Thailand specialist. “This is a gross violation of a key human right—the right to life”.
“Deliberately firing live ammunition at unarmed people, whether they be protesters or otherwise and who pose no credible threat to anyone else, is unlawful”, said Zawacki.
Since 13 May, when the government began “Operation Rachaprasong”, soldiers have fired rubber and live rounds in and around protest sites in several parts of Bangkok . The government claims that there are around 500 “terrorists” hiding among the protesters.
At least 35 unarmed protesters have been killed. The dead include two medics who were wearing white medical uniforms with visible red crosses, shot on 15 and 16 May; and a 17 year-old boy, shot on 15 May. Maj. Gen. Khattiya Sawatdiphon (known as “Seh Daeng”), a military advisor for the protesters, was struck by a sniper’s bullet on 14 May and died on 17 May. In addition another soldier has been killed.
Over 200 people have been injured, including several Thai and foreign journalists, and a 10 year-old boy.
“The government cannot allow soldiers to essentially shoot at anyone within an area it wishes to control”, said Zawacki.
The government’s Rules of Engagement, as articulated by its Center for Resolution of Emergency Situation (CRES) on 14 May, state that live rounds may only be used as warning shots fired into the air, in self-defense, or when forces can clearly see those the security forces consider as “terrorists”. On 16 May, CRES declared several areas just adjacent to the protest site as “live fire zones”.
Several eye-witnesses told Amnesty International that they witnessed soldiers shooting into the area using long-range rifles—at a distance from which the victims were not likely to present any danger.
CRES Spokesperson Col. Sansern Kaewkamnerd said on 14 May that troops would keep a distance from the protesters, and would use live ammunition to stop people from coming closer. When shooting to stop protesters, troops would aim below the knee and fire only one bullet at a time.
“This is unacceptable under international law and standards, which provide that firearms may be used only as a last resort, when a suspected offender offers armed resistance or otherwise jeopardizes the lives of others, and less extreme measures are not sufficient to restrain or apprehend the suspected offender. Outside of clear situations of self-defence, riot control should be performed by trained police using non-lethal equipment, not by soldiers using live ammunition,” said Zawacki.
Background
The United Front for Democracy against Dictatorship (UDD), commonly known as "Red Shirts" for the colour of their clothing, began their protests in Bangkok on 12 March.
Many of them are allied with former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra, deposed in a 2006 coup d’état and currently in voluntary exile. They are calling for greater democracy and have consistently demanded the dissolution of Parliament, followed by new elections. They have also at times demanded the resignation and exile of Prime Minister Abhisit Vejjajiva, who on 3 May proposed a five-point Reconciliation Plan, which included the dissolution of Parliament and new elections on 14 November 2010. The protesters initially accepted the plan in principle, but then countered with a "Red Plan" and refused to vacate their protest site, which they have occupied since 3 April.
The Internal Security Act has been in force since the protests began and an Emergency Decree was declared on 7 April; both confer enormous powers on the military, while the latter has been extended to cover nearly half of Thailand .
Thailand has acceded to the International Covenant on Civil and Political Rights (ICCPR), which provides that the right to life cannot be restricted even “in time of public emergency which threatens the life of the nation (Art. 4).”
Using lethal force recklessly violates international law on the use of force. The United Nations Basic Principles on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials (1990) and the United Nations Principles on the Effective Prevention and Investigation of Extra-Legal, Arbitrary and Summary Executions (1989), while not legally binding per se, represent global agreement by states on how to best implement international human rights provisions during law enforcement operations without violating the right to life. Both are clear that intentional lethal force can only be used when strictly unavoidable to protect life.
Contact: Benjamin Zawacki - +66 811 381 912
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment